รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประเภทธุรกิจกำจัดแมลงของไทยหลายรายเริ่มปิดกิจการ
ดังนั้นภาครัฐต้องการให้ผู้ประกอบการขนาดใหญ่เข้ามาร่วมทุนกับรายเล็ก เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้ อยากให้ธุรกิจเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายน้ำมันที่เพิ่มต้นทุนจาก 10% เป็น 20-30% สารเคมีที่ทำจากจากปิโตรเลียมเพิ่มจาก 20 เป็น 30% เบื้องต้นผู้ประกอบการได้ปรับราคาไปแล้ว 10-20% แต่ก็มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มอีกในปีนี้เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุน
ด้าน นายนิรันดร์ จอนแจ้ง นายกสมาคมกำจัดแมลง กล่าวว่า บริษัทที่เป็นสมาชิกในสมาคมมี 100 ราย ครองส่วนแบ่ง 70% ในแง่รายได้ ขณะที่บริษัทกำจัดแมลงทั่วประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกมี 300 ราย โดยเน้นการบริการราคาถูกที่เริ่มต้นเพียง 700 บาทต่อครั้ง เทียบกับการบริการของผู้ประกอบการในสมาคมจะคิดค่าบริการค่อนข้างสูง เช่น สำหรับทาวน์เฮาส์อยู่ที่ 4,500-5,000 บาทต่อปี และบ้านเดี่ยวที่ประมาณ 1 หมื่นบาทต่อปี ขึ้นกับการเลือกใช้สารเคมี
ขณะเดียวกันยังพบว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, กระดาษ และ ปูนซีเมนต์ ต่างประสบปัญหาต้นทุนเช่นกัน โดยการศึกษาผลกระทบราคาน้ำมันระหว่างช่วงปี 43 น้ำมันดิบเฉลี่ย 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กับปี 51 ที่เฉลี่ยเพิ่มเกือบ 120 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารฯ มีต้นทุนการผลิตเพิ่ม 40.35% อุตสาหกรรมกระดาษต้นทุนการผลิตเพิ่ม 34.8% อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ต้นทุนการผลิตเพิ่ม 73.17% และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มฯ มีมูลค่า 449,926 ล้านบาท
ที่มา นสพ.บ้านเมือง 11/12/51